เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ประวัติกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ |
วิสัยทัศน์ พันธกิจ วัฒนธรรมองค์กร |
หน้าที่และอำนาจ |
ภารกิจ |
ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติราชการ |
นโยบายพลังงาน |
โครงสร้างองค์กร |
ทำเนียบบุคลากร |
ผู้บริหาร |
ราชการบริหารส่วนกลาง |
สำนักงานเลขานุการกรม |
กองจัดการเชื้อเพลิงธรรมชาติ |
กองเทคโนโลยีการประกอบกิจการปิโตรเลียม |
กองบริหารกิจการปิโตรเลียมระหว่างประเทศ |
กองบริหารสัญญาและสัมปทานปิโตรเลียม |
กองยุทธศาสตร์และแผนงาน |
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร |
กองความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมเชื้อเพลิงธรรมชาติ |
กองสัญญาแบ่งปันผลผลิต |
กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร |
กลุ่มตรวจสอบภายใน |
ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (DCIO) |
สถานที่ติดต่อ |
Logo กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ |
พระราชบัญญัติปิโตรเลียม |
พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม |
พระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย |
พระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล |
คู่มือมาตรา 69/70 |
คู่มือการจัดการของเสียจากสถานประกอบกิจการปิโตรเลียม |
คู่มือการจัดทำรายงานสิ่งแวดล้อมสำหรับการสำรวจคลื่นไหวสะเทือน |
คู่มือการเปลี่ยนแปลง สิทธิ ประโยชน์ และพันธะในสัมปทานปิโตรเลียม ภายใต้ พ.ร.บ. ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 |
ถ้าเราลองเปลี่ยนมาใช้บริการรถสาธารณะบ้าง นอกจากจะช่วยคลายเครียดไม่ต้องหงุดหงิดที่ต้องขับรถเองแล้ว ยังเป็นการช่วยประเทศชาติลดการใช้น้ำมันได้ปีละหลายล้านลิตรทีเดียว |
|||||
จากการศึกษาพบว่า ถ้าผู้ขับรถยนต์ 1 % ในจำนวนรถยนต์ 5 ล้านคันเปลี่ยนมาใช้รถสาธารณะให้ได้ระยะทางรวมกัน 48 กิโลเมตรต่อวันในเวลา 1 ปี ซึ่งนับจาก 260 วันทำงานก็จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ปีละ 52 ล้านลิตร ถ้าคิดเป็นเงินก็สูงถึง 780 ล้านบาทเลยทีเดียวเลยนะครับ ลองเปลี่ยนวิธีเดินทางของคุณวันนี้มาใช้รถโดยสารสาธารณะดูบ้างสิครับ คุณจะภูมิใจที่มีส่วนช่วยประเทศชาติของเรา |
ถ้าสมมติว่าต้องขับรถไป-กลับ 4 รอบ ก็จะเสียเงินค่าน้ำมันไปแล้วอย่างน้อยประมาณ 2 บาท ฟังดูเหมือนนิดเดียวใช่ไหมครับ? |
|||||||
แต่ถ้าสักครึ่งหนึ่งของคนที่ใช้รถยนต์จำนวน 5 ล้านคันเปลี่ยนความเคยชินเดิมที่รักสบายเป็นหลักมาใช้รถจักรยานหรือเดินแทน เมื่อต้องออกไปทำธุระใกล้ๆ ทำอย่างนี้แค่สัปดาห์ละ 1 ครั้งใน 1 ปี เชื่อไหมครับว่าเราจะช่วยกันประหยัดน้ำมันได้ถึง 5.2 ล้านลิตร หรือถ้าคิดเป็นเงินก็ประมาณ 78 ล้านบาท เพราะฉะนั้น เปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมกันใหม่ดีกว่าครับ "ทางใกล้ ไม่ใช้รถ" ง่ายนิดเดียว ได้ออกกำลังกายแถมยังได้ช่วยชาติประหยัดน้ำทันด้วยครับ |
เชื่อไหมว่าในปี 2544 ที่ผ่านมา ประเทศไทยของเรามีการใช้ลังงานจากฟืนและถ่านถึง 16.7 % ของการใช้พลังงานในครัวเรือนทั่วประเทศหรือเท่ากับมีการตัดไม้เพื่อทำฟืนและถ่านมากถึงปีละกว่า 86,000 ลูกบาศก์เมตรเชียวครับ มิน่าเล่าป่าไม้บ้านเมืองเราถึงเหลืออยู่เพียง 25 % เท่านั้น |
|
||||||
นับว่ายังเป็นโชคดีของประเทศเกษตรกรรมอย่างเราที่มีผู้คิดค้นนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างชานอ้อย วัชพืช หรือแม้กระทั่งใบไม้ต่างๆมาดัดแปลงเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียวที่ติดไฟและนำไปใช้หุงต้มได้โดยตรงด้วยเทคโนโลยีแบบง่ายๆและยังเสียค่าใช้จ่ายไม่มากอีกด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็จะสามารถลดการตัดไม้มาทำฟืนเป็นการช่วยรักษาสมดุลให้สิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย |
ดอกไม้สวยๆเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่ในบ้านเราจะปลูกกันมากบนดอยสูง ทราบไหมครับว่ากว่าจะเป็นดอกไม้ช่องามอย่างนี้ต้องหมดพลังงานไปมากมายขนาดไหน |
|
||||||
และถ้าต้องการให้ดอกไม้มีลำต้นสูงแข็งแรง แสงธรรมชาติอย่างเดียวไม่พอหรอกครับ ต้องเปิดไฟฟ้าช่วยให้แสงสว่างเพิ่มอีกวันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งกว่าจะติดดอกได้ต้องใช้เวลาปลูกนานกว่า 5-6 เดือน ซึ่งนั่นก็ต้องใช้ไฟฟ้ารมกันไม่น้อยกว่า 450 ชั่วโมงแน่ะครับ เป็นอย่างไรครับกว่าจะได้ดอกไม้สวยๆต้องหมดพลังงานไปมากมายเลยนะครับ อย่างนี้ผมว่าจะให้ดีซื้อของขวัญให้บัณฑิตครั้งต่อไปลองเลือกหาสิ่งที่จะใช้ประโยชน์ได้ยาวนานน่าจะดีกว่านะครับ |
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าข้าวแต่ละเม็ดที่เรารับประทานนั้นหมายถึงหยาดเหงื่อแรงกายของชาวนาไทย แต่น้อยคนนักจะนึกถึงพลังงานจำนวนมากที่ต้องใช้ไปในการปลูกข้าวครับ เก็บเกี่ยวแล้วก็ต้องสีข้าวจากข้าวเปลือกไปเป็นข้าวกล้อง แล้วยังต้องขัดให้เป็นข้าวขาวอีก ซึ่งสว่นใหญ่ในทุกขั้นตอนจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนเครื่องจักร แล้วอย่างนี้วันนึงๆ โรงสีข้าวจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากมายขนาดไหน |
คุณก็เป็นคนหนึ่งซึ่งใช้ดินสอยังไม่หมดแท่งดีก็เปลี่ยนแท่งใหม่เสียแล้วใช่ไหมครับ |
ทราบไหมครับว่า เราสามารถช่วยลดปริมาณเจ้าขยะกองโตเหล่านี้ได้ถึง 40 % หากเราช่วยกันแยกขยะก่อนทิ้ง ซึ่งเฉลี่ยแล้วในขยะต่างๆจะมีขยะประเภทเศษแก้วปะปนอยู่ถึง 5.5% พลาสติก 12% และเศษกระดาษอีก 15% |
|||||
หากนำเศษแก้วที่ถูกทิ้งเป็นขยะกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเป็นส่วนผสมในการผลิตขวดแก้วใหม่ เพิ่มขึ้นเพียง 10% ในการผลิตขวดแก้ว 1 ตัน จะช่วยลดปริมาณเศษแก้วในขยะมูลฝอยได้ถึง 110,000 ตันต่อปี และประหยัดพลังงานได้ถึง 3% สำหรับการผลิตกระดาษจำนวน 1 ตันนั้น เราต้องตัดต้นไม้ถึง 17 ต้นและใช้น้ำในกระบวนการผลิตไม่น้อยกว่า 100,000 ลิตร ซึ่งหากนำกระดาษเก่ามารีไซเคิลเพื่อผลิตกระดาษใหม่ก็จะช่วยประหยัดน้ำได้ถึงครึ่งหนึ่งและไม่จำเป็นต้องตัดต้นไม้เลย ส่วนพลาสติกเก่าเราก็สามารถนำมาหลอมใช้ใหม่ได้ทั้งหมด หันมาแยกขยะในบ้านของคุณเองกันตั้งแต่วันนี้เถอะครับ ไม่เพียงจะช่วยให้เรามีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เราประหยัดพลังงานและลดการสูญเสียเงินตราในการนำเข้าวัตถุดิบต่างๆเหล่านั้นด้วยครับ |
รู้ไหมครับว่า ทุกครั้งที่คุณเปิดฝาหม้อเพื่อดูว่าอาหารข้างในเป็นอย่างไรนั้น ความร้อนประมาณ 25-50 องศาเซลเซียสก็กำลังเล็ดลอดออกไปด้วย และเตาแก๊สก็ต้องใช้ก๊าซมากขึ้นเพื่อให้พาชนะกลับมาร้อนเหมือนเดิม |
|||||
เพราะฉะนั้น การต้มน้ำหากเราหาฝามาปิดภาชนะที่ใช้ในการต้ม เราก็จะไดน้ำที่เดือดเร็วขึ้นและใช้ก๊าซน้อยกว่าการต้มน้ำโดยเปิดฝาทิ้งไว้ด้วย หม้อหรือกระทะที่ใช้ก็ไม่ควรให้มีคราบตะกรันเกาะจับ เพราะจะทำให้อาหารเดือดและสุกช้า สิ้นเปลืองก๊าซโดยไม่จำเป็นเลยนะครับ มีผู้ประเมินว่า หากประชาชนเพียง 10 % ของผู้ใช้ก๊าซหุงต้มสามารถใช้ก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ก็จะช่วยประหยัดเงินค่าเชื้อเพลิงได้ 1.75 บาท/กก. และประเทศของเราจะมีก๊าซหุงต้มเหลือส่งออกถึงปีละ 13,000 ตัน ซึ่งสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้อีกปีละไม่น้อยกว่าร้อยล้านบาทเชียวนะครับ |
มีตัวเลขออกมานะครับว่า โทรทัศน์สียอดฮิตขนาด 21 นิ้ว ซึ่งกินไฟประมาณ 110 วัตต์ ถ้าเราเปิดเครื่องสแตนด์บายหรือเปิดค้างอยู่ตลอดเวลา จะทำให้เราใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 8.2% เลยนะครับ |
|||||
ลองคิดดูเล่นๆนะครับว่าถ้าใน 1 วัน เราปล่อยให้โทรทัศน์สแตนด์บาย 20 ชั่วโมง ใน 1 เดือนจะสิ้นเปลืองไฟฟ้าถึง 5.4 หน่วยหรือคิดเป็นเงินก็ประมาณ 13.50 บาท ดูเล็กน้อยนะครับ แต่คนไทยทั้งประเทศมีโทรทัศน์กว่าแสนเครื่อง ลองคุณดูสิครับว่ามันตั้งเท่าไหร่ เดือนละเป็นล้านแน่ะ...ไม่น้อยนะครับ อย่างนี้แล้ว...คราวต่อไป เมื่อเลิกดูโทรทัศน์แล้วอย่าลืมปิดสวิตช์และถอดปลั๊กออกด้วยนะครับ ออกแรงแค่นิดเดียว แต่เชื่อเถอะครับว่าเราจะมีส่วนช่วยประหยัดพลังงานและก็ช่วยชาติประหยัดเงินได้ไม่น้อยอีกทางหนึ่งนะครับ |
|
|||||
และนอกจากนั้นในขั้นตอนของการหลอมละลายเม็ดพลาสติกก็ต้องใช้ความร้อนสูงมากและเครื่องจักรต่างๆยังต้องใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานสำคัญในการขับเคลื่อน นั่นหมายถึงว่ากว่าเราจะได้ภาชนะพลาสติกใช้กัน เราต้องใช้พลังงานไฟฟ้าไปจำนวนมหาศาล ทราบไหมครับว่ากว่าร้อยละ 80 ของเม็ดพลาสติกที่เราผลิตได้ในประเทศ จะถูกนำมาใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง รู้อย่างนี้แล้วคราวหน้าก่อนทิ้งลองทบทวนดูสักนิดนะครับว่าเราจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีกหรือเปล่าครับ |
ยิ่งสำหรับคนที่ใช้เครื่องซักผ้าการซักผ้าแต่ละครั้งจะกินไฟโดยเฉลี่ย 370 หน่วยต่อปี คิดเป็นเงินก็ 925 บาทต่อปี |
|||||
สำหรับเรื่องขนาดเครื่องซักผ้าที่ใช้ก็สำคัญนะครับ เช่น เครื่องซักผ้าขนาด 6.5 กิโลกรัม หรือ 440 วัตต์ ซักผ้าในเวลา 2 ชม. ก็จะต้องเสียเงินมากกว่าใช้เครื่องซักผ้าขนาด 4.5 กิโลกรัม หรือ 330 วัตต์ถึง 60 หน่วยต่อปี คิดเป็นเงินก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 150 บาทต่อปีเลยนะครับ และหากใครต้องใช้เครื่องแบบอบแห้งด้วยแล้ว ก็จะทำให้เปลืองไฟฟ้ามากขึ้นไปอีก เห็นไหมละครับว่าแม้คุณจะซักผ้าเพียงไม่กี่ชิ้น แต่คุณก็ต้องเสียค่าไฟเท่ากับการซักผ้า 1 ครั้ง คราวต่อไปถ้าจะซักผ้า ก็ควรใส่ผ้าให้มีปริมาณที่เหมาะสมไม่น้อยหรือไม่อัดแน่นจนเต็มเครื่องเกินไปนะครับ |
|
|
||||
ถึงแม้ถุงก๊อบแก๊บหลากสีสัน ส่วนใหญ่จะผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลก็ตาม แต่กระบวนการใช้เครื่องจักรกลที่ใช้แยกและการล้างเม็ดพลาสติกก็สร้างความยุ่งยาก และสิ้นเปลืองพลังงานด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานไฟฟ้า ทีนี้ลองกลับมานึกถึงถุงก๊อบแก๊บที่คุณเพิ่งได้มาสิครับว่ายังสามรถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกหรือเปล่า คุ้มค่าเพียงพอที่จะทิ้งมันไปแล้วหรือยัง หรือไม่นะครับก็ลองหาถุงผ้ามาใช้แทน เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีนี้จะได้อยู่กับเราได้นานๆไงละครับ |
มอเตอร์นับเป็นเฟืองจักรสำคัญในการผลิตสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ และเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากถึง 50 % ของการใช้ไฟฟ้าในกระบวนการผลิตทั้งหมดเลยนะครับ |
|||||
เหตุที่มอเตอร์ไฟฟ้ากินไฟมากเนื่องจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นในส่วนประกอบต่างๆของตัวมอเตอร์ เช่น ความสูญเสียจากแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปแบบของความร้อนจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านขดลวด จากแรงเสียดทานในตลับลูกปืน และจากการใช้งานมาเป็นเวลานาน จากความสูญเสียนี้เอง ที่ทำให้มีผู้คิดผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง เช่น การเปลี่ยนมาใช้แผ่นเหล็กซิลิคอนขนาดบางแทนการใช้แผ่นเหล็กธรรมดาในการทำแกนเหล็กที่สเตเตอร์และโรเตอร์ ซึ่งช่วยลดความสูญเสียทางไฟฟ้าลงได้ครึ่งหนึ่ง หรือการใช้ขดลวดทองแดงที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม 30-40 % เพื่อลดค่าความต้านทานในขดลวด รวมถึงการลดช่องว่างระหว่างสเตเตอร์กับโรเตอร์ลงเพื่อเพิ่มความเข้มของสนามแม่เหล็กก็จะทำให้มอเตอร์ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากขึ้นครับ |
การออกแบบด้วยหลังคาทรงสูง ใช้วัสดุมุงหลังคาที่ช่วยระบายความร้อน ติดตั้งผนังระบบฉนวนกันความร้อน และมีช่องเปิดตรงกลางบ้านที่แสงธรรมชาติจะส่องลงมาทำให้ทั่วบ้านสว่าง และไอร้อนก็จะลอยออกจากบ้านผ่านช่องเปิดนี้ บ้านทั้งหลังก็เลยทั้งสว่างและเย็นสบายมากเลยละครับ |
|||||
ลองคำนวณการใช้เครื่องปรับอากาศภายในบ้านประหยัดพลังงานซึ่งมีพื้นที่ใช้สอย 330 ตารางเมตร แต่ใช้เครื่องปรับอากาศเพียง 3 ตัน หรือ 110 ตารางเมตรต่อตัน ประหยัดได้มากกว่า 7-8 เท่าเชียวนะครับ ด้วยการออกแบบ และเลือกใช้วัสดุได้อย่างเหมาะสม ทำให้บ้านหลังนี้มีคุณค่าในด้านประโยชน์ใช้สอย และสามารถประหยัดพลังงานได้อย่างคุ้มค่ามากทีเดียวครับ |
พลังงานลมที่ใช้กันอยู่มนปัจจุบัน โดยหลักแล้วอาศัยพลังงานจากกระแสลมมาหมุนกังหันเกิดเป็นพลังงานกล ซึ่งใช้หมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าออกมาใช้งานที่บ้านเรา |
|||||
การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ได้พัฒนานำพลังงานลมมาใช้อย่างจริงจัง โดยได้นำพลังงานลมมาใช้ผลิตไฟฟ้าใน 4 โครงการรวมกำลังการผลิตประมาณ 170 กิโลวัตต์เช่น ที่แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต มีการใช้พลังงานร่วมคือ จากเซลล์แสงอาทิตย์และกังหันลม สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 2 แสนยูนิต่อปี ซึ่งก็เพียงพอต่อการใช้ไฟฟ้าสำหรับ 110 ครอบครัวต่อปีทีเดียวครับ หากสามารถพัฒนาพลังงานลมให้เป็นพลังงานหลักอีกอย่างหนึ่งในการผลิตไฟฟ้า เชื่อแน่ครับว่าจะสามารถบรรเทาปัญหาเรื่องการจัดหาเชื้อเพลิงอย่างแน่นอน และที่สำคัญพลังงานที่ว่านี้ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยครับ |
แต่ในปี พ.ศ. 2546 นี้ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งสามารถจะผลิตไฟฟ้าได้ถึงประมาณ 2.25 เมกะวัตต์ก็จะสร้างแล้วเสร็จ และคาดว่าจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตไฟฟ้าได้ถึงปีละ 6,100 บาร์เรล |
|||||
และรัฐบาลยังมีนโยบายว่าภายในปี พ.ศ. 2554 จะเร่งให้มีการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มาผลิตพลังงานไฟฟ้าให้ได้มาถึง 180 เมกะวัตต์ เพื่อให้สามารถทดแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซธรรมชาติเทียบเท่าน้ำมันดิบได้ถึง 1 แสนบาร์เรลต่อปีเชียวนะครับ ที่สำคัญประเทศไทยยังมีปริมาณสำรองแร่ควอตซ์มากถึง 27 ล้านตัน ซึ่งแร่ควอตซ์นี่ละครับที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ และขณะนี้นักวิจัยไทยสามารถผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ได้เองแล้วด้วย ดังนั้นนอกจากต้นทุนการนำเข้าเซลล์แสงอาทิตย์ราคาแพงจะลดลงแล้ว เรายังสามารถวางแผนที่จะผลิตเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อขายและส่งออกนำรายได้เข้าประเทศในอนาคตอีกด้วยครับ |
|
|||||
นอกจากนี้กากของเสียจากโรงงานแปรรูปทางการเกษตร เช่น เปลือกสัปปะรดจากโรงงานสัปปะรดกระป๋อง หรือมูลสัตว์จากฟาร์มเลี้ยงหมูก็สามารถนำมาหมักเป็นก๊าซชีวภาพได้อีก ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปัญาเรื่องกลิ่นเหม็นแล้ว ยงได้ก๊าซมาใช้ในการหุงต้มอาหาร ได้ไฟฟ้ามาใช้ในฟาร์มเลี้ยงอีกตลอดทั้งคืน และยังไม่เสียค่าใช้จ่ายในการกวาดล้างมูลหมูในฟาร์มอีกด้วยครับ จึงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สามารถนำพลังงานจากชีวมวลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอย่งดี โดยเฉพาะการใช้เศษวัสดุเหลือใช้ที่เป็นสารอินทรีย์ต่างๆ มาหมักเพื่อให้เกิดก๊าซชีวภาพ สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเกิดพลังงานช่วยลดปริมาณขยะและไม่ก่อให้เกิดปญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วยครับ ชีวมวล (Biomass) หมายถึง เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร หรือกากจากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมการเกษตร รวมถึงมูลสัตว์ ของเสียจากการแปรรูปสินค้าเกษตร และขยะ โดยชีวมวลเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานจากธรรมชาติและสามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานได้ ก๊าซชีวภาพ (Biogas) หมายถึง ก๊าซที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการย่อยสลายของนิวทริแฟกทีฟแบคทีเรีย (Nutrifactive Bacteria) ในสภาวะที่ไม่มีอากาศ (Anarobic Digestion) ซึ่งก๊าซชีวภาพที่ได้จะประกอบด้วย มีเทน (CH4) ประมาณ 60 % และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ประมาณ 40 % ทำให้ก๊าซชีวภาพมีน้ำหนักเบากว่าอากาศเล็กน้อย และมีอุณหภูมิติดไฟที่ประมาณ 700 องศาเซลเซียส |
|
|||||
ข้อดีของเชื้อเพลิงชีวภาพทั้ง 2 ชนิดนี้คือ จะให้แก๊สไอเสีย และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์น้อยมากครับเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิล ถึงแม้จะมีค่าความหนืดสูงกว่าน้ำมันธรรมดา แต่ก็ยังคงไหลได้ภายใต้สภาพอากาศที่อบอุ่น และยังมีผลการวิจัยอยู่มากมายครับที่ชี้ให้เห็นว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลสามารถใช้เชื้อเพลิงชีวภาพมาทดแทนได้ด้วยครับ ลองคิดดูนะครับ ถ้าปกติเราต้องนำเข้าเชื้อเพลิงเพื่อผลิตน้ำมันสำเร็จรูป 700,000 บาร์เรลต่อวัน หากเราเปลี่ยนมาใช้เอทานอลผสมกับน้ำมันเบนซินและใช้ไปโอดีเซลทดแทนน้ำมันดีเซลธรรมดาแค่เพียง 15 % เราจะสามารถลดการนำเข้าเชื้อเพลิงได้ถึง 100,000 บาร์เรลต่อวันเลยทีเดียวครับ นอกจากจะได้ประหยัดเงินเพื่อนำมาพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆแล้ว เชื้อเพลิงชีวภาพยังช่วยให้เรามีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ ควบคู่ไปกับการรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีด้วยไงล่ะครับ |
|
|||||
ทุกวันนี้จึงมีหลายประเทศเริ่มหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติกันมากขึ้นครับ เมื่อปลายปีพ.ศ. 2543 ที่นครปักกิ่งมีรถยนต์ใช้ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติวิ่งมากถึง 1,633 คัน และจัดว่าเป็นเมืองใหญ่ที่มีรถประจำทางใช้ก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในโลก ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในญี่ปุ่นบางราย ก็ได้หันมาผลิตรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ CNG หรือที่เรียกกันว่ารถ NGV ในเชิงพาณิชย์กันมากขึ้นด้วยครับ ในเมืองไทยเราก็มีรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติไม่น้อยอยู่เหมือนกัน อย่างองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ข.ส.ม.ก. ก็มีรถโดยสารประจำทางสาย ปอ. 24 ให้บริการถึง 38 คันครับ และขณะนี้ยังมีการดัดแปลงให้เครื่องยนต์ใช้ได้ทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ คาดว่าสิ้นปี พ.ศ. 2545 จะมีรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติให้บริการในกรุงเทพฯถึงประมาณ 1,100 คัน เพราะต้นทุนค่าเชื้อเพลิงถูกกว่าเติมน้ำมันถึงครึ่งหนึ่งเชียวนะครับ *CNG = Compressed Natural Gas *NGV = Natural Gas Vehicle |
1. จัดหา: จัดหาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมให้พอเพียงกับความต้องการใช้งานภายในประเทศ แถมยังต้องเสาะแสวงหาแหล่งปริมาณสำรองเพิ่มเติมจากทั้งภายในประเทศ เขตพื้นที่พัฒนาร่วมและพื้นที่คาบเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยครับ |
|||||
2. ทดแทน: เร่งผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลวในประเทศเกือบ 1 แสนบาร์เรลต่อวัน มาใช้ทดแทนน้ำมันน้ำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งช่วยชาติประหยัดเงินได้ถึง 6-7 พันล้านบาทต่อปี และยังได้พัฒนาก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ได้อีกประมาณ 300,000 บาร์เรลต่อวันอีกนะครับ 3. รักษากลไกราคา: กำกับดูแลให้ราคาของทรัพยากรปิโตรเลียมที่ผลิตได้ในประเทศมีราคาที่เหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศด้วยนะครับ 4. ร่วมมือ: เรายังมีมาตรการป้องกันภาวะขาดแคลนปิโตรเลียมโดยผ่านกลไกความร่วมมอระหว่างประเทศด้วยครับ โดยเฉพาะความร่วมมือในกลุ่มอาเซียน ทั้งในสภาวะฉุกเฉิน หรือที่เรียกว่า ASEAN Petroleum Security Agreement และโครงการระยะยาว เช่น โครางการโครงข่ายพลังงานอาเซียน (ASEAN Energy Network) ซึ่งมี 2 ส่วนหลักๆ คือ โครงข่ายท่อส่งก๊าซอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline) และโครงข่ายไฟฟ้าแรงสูงอาเซียน (ASEAN Power Grid) และกลยุทธ์นี้แหละครับจะเป็นการใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านสถานที่ตั้งของประเทศไทยในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายพลังงานของ ASEAN ได้อย่างเต็มที่เชียวนะครับ |